วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

เรื่องการ สมัครมหาวิทยาลัย สาขา วิศวกรรม ใน ฟินแลนด์





 วุฒิที่สมัคร เขียนว่า Insinööri(AMK) แปลว่า วิศวกร นะคะ เรียน 4 ปี รับ 105 คน



การสมัครเพื่อเรียนต่อ ระดับ มหาวิทยาลัย ในฟินแลนด์นั้น ทำได้ หลายเงื่อนไขนะคะ

1.จบ ม.6 ในฟินแลนด์
2.จบ วิชาชีพ ในฟินแลนด์
3.จบ ม.6 จาก ประเทศไทย หรือประเทศอื่น นะคะ

ของป้าลี ใช้เงื่อนไข ทั้ง ข้อ 2 และ ข้อ 3 ค่ะ (สมัครมา 3 รอบแล้วค่ะ ณ วันนี้ คือรอบที่ 4)

ใน เงื่อนไข ข้อ 1 คือ นักศึกษาที่เรียน เกรด 12 ของที่นี่ จะมีการเตรียมตัวสอบในภาคสุดท้ายของการศึกษา คือ ไม่มีการเรียนการสอน ให้เตรียมตัวอ่านหนังสือเองที่บ้าน

ส่วน 2+3 ที่ป้าลีสมัครนั้น เป็น Metropolia ammattikorkea http://www.metropolia.fi/
 เป็นภาคภาษาฟินน์

 และ  Hamk สาขาที่สมัครสอบ คือ วิศวกรรม นะคะ สอบครั้งแรก เป็นภาษาฟินน์เช่นกันค่ะ
สมัครครั้งที่สอง เป็นหลักสูตร ภาษาอังกฤษ(ใช้ SAT+Ielts)

http://www.hamk.fi/Sivut/default.aspx 

 
 การใช้วุฒิ ม.6 จากเมืองไทย สมารถสมัครเรียนได้ โดย นำวุฒิที่จบ ไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ
แล้วส่งให้ทางมหาวิทยาลัย หลังจาก กรอกใบสมัคร ทางหน้าเว็บ เรียบร้อยแล้วค่ะ
 (เค้าจะส่งเป็นข้อความมาบอกว่า ให้เราส่ง เอกสารให้เค้า ภายในวันที่เท่าไหร่)

จากนั้นเค้าจะส่งเอกสารให้เราไปสอบ ตามวัน เวลา และสถานที่ นั้นๆ ค่ะ


การใช้วุฒิวิชาชีพ ที่ป้าลี เรียนจบ จาก Stadin ammattiopisto จากเฮลซิงกิ ก็สมัครในเว็บ เช่นเดียวกันค่ะ

ของภาคภาษาฟินน์ นั้น ข้อสอบ ทั้งของ Metropolia และ Hamk นั้น สอบ ในหัวข้อ(ป้าลีสอบมาแล้วทั้ง 2 ที่ค่ะ)

1.ความสามารถทางภาษาฟินน์
2.คณิตศาสตร์และความสามารถทางการแก้ไขปัญหาเชิงคณิตศาสตร์
3.ฟิสิกส์ และ เคมี

การสอบของ Metropolia นั้น ในสายเทคนิค ทุกสาขา(ช่างต่างๆ) จะมาสอบรวมกัน  ณ วันที่ป้าสอบ มีหลายห้อง และ ห้องที่ป้าลีเข้าไปนั่งสอบนั้น ประมาณ 500 คน (แปลว่า ผุ้เข้าสอบ ต้องหลายพันคน)

มาถึงสถานที่สอบ ก่อนเวลามากๆ เพราะห้องสอบหายาก(ณ ตอนนั้นนะคะ) ไปรอเค้าเรียกชื่อ เดินเข้าที่สอบ ทีละ คนค่ะ นั่ง เว้น ที่  ใช้ได้แค่ดินสอ ปากกา ไม้บรรทัด ยากลบ ไม่ให้ใช้เครื่องคิดเลขใดๆ

ข้อสอบ ประมาณ คณิตฯ ม.ปลายค่ะ แต่การแก้ไขปัญหาทางคณิตฯ นั้น ค่อนข้างแปลกๆ

เช่น โจทย์ บอกว่า มีเด็กเล่นในสวนหย่อม  เด็กผมบลอนด์ บอกว่า ชั้นเป็นเด็กผู้ชาย  เด็กผมดำ บอกว่า ชั้นเป็นผู้หญิง   คำถาม...  ถ้าเวลาผ่านไปแล้ว คนผมบลอนด์คือ ญ หรือ ชาย คนผมดำคือ ญ หรือ ช  ให้วิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์ (ในภาษาฟินน์นะคะ)

เอ่อ... มันให้ตรูคำนวณ ตอนใหนฟวะ  

คำตอบ ป้าก็ใส่เป็น สมการ ลูกศร (คิดเอง ขณะนั้น เริ่ดเน๊อะ) ตอบถูกอีก ฮาาาา

ฟิสิกส์ ก็ให้คำนวณ เส้น 3 เส้น ที่วิ่งพันกัน ให้คำนวณ ความเร็ว ของมัน  (เอาไว้ หาข้อสอบเก่ามาให้นะคะ)


ส่วน ฟิสิกส์ของ Hamk ก็ประมาณว่า

แม่น้ำสายหนึ่ง ยาว 50 เมตร ลึก 12 เมตร มีน้ำไหลผ่าน  ความเร็ว....(จำตัวเลขไม่ได้ละ) /วินาที
คำถาม ให้คำนวณ กำลังการไหลของน้ำสายนี้ ในแบบ VATIO ชิหาย... ละ อ่านมาและสรุปเข้าใจหมด ไม่เข้าใจคำเดียว คือ วาติโอ... อัลไลลลล ว้าาาาาา   ก็เขียนไปไรก็ไม่รู้ เดาๆเอา ในเรื่องของการเคลื่อนไหวของน้ำ ที่ไม่รู้เลยว่า Vatio คือไร....

ส่วนคณิตฯ ไม่ยากเลยค่ะ  ง่ายกว่าเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เมืองไทยเยอะ(มั่กๆ) เช่น 3x+9 = 80  แล้วให้หา x (ป้าสมมุติโจทย์มานะคะ อย่าตกใจ แต่ก็ประมาณนี้ คือ หมูๆ ว่างั้น)
ส่วนที่ไม่หมู คือให้โจทย์เชิงวิเคราะห์ ในภาษาฟินน์มา แล้วเราต้องวิเคราะห์ในการหาผลคำนวณ อันนี้ก็ยาก แม้ว่า ลักษณะโจทย์จะไม่ยากก็ตาม แต่ยากตรงที่ต้องวิเคราะห์ภาษาฟินน์นั่นแหละ....

สอบไม่ผ่านค่ะ...   ไม่เซอไพรส์แน่นอน... รู้อยู่แล้ว เพราะมันยาก

การสอบความสามารถทางภาษาฟินน์ ของทั้งสองที่

Metropolia  จะให้บทความมาทางเว็บไซด์ของมหาลัย ให้ล่วงหน้ามา 2 อาทิตย์ ประมาณ 15 หน้า ให้อ่านแล้วจำไปไว้ เพื่อไปตอบคำถาม ในห้องสอบ (อันนี้ก็ไปงงกับ โจทย์ที่ถามอีก ว่าให้ตอบผิดหรือถูก คือจำเรื่องราวได้ แต่โจทย์ที่ให้มาน่ะ เจือกงง ว่ามันถามอะไร คือ ใช้คำยาก ว่างั้น)

วิธีการ....  ลอกคนข้างๆ กับคนข้างหน้า... เด็กสาวมาจาก ญี่ปุ่นคนข้างๆ ให้ลอก เค้าเห็นป้า ตอบผิดเยอะ

ส่วนของ Hamk  ไม่ต้องลอกใครได้ เค้าถามว่า
1.มาสมัครครั้งนี้ได้อย่างไร ทราบจากใหน สมัครสาขาอะไร
2. คิดว่า ถ้ามาเรียนแล้ว คิดว่า จะได้อะไรจากสถาบัน
3.เมื่อเข้าเรียนไปแล้ว คิดว่า จะให้อะไรกับ สถาบัน..

แป่ว...   คือตอบเป็นภาษาอังกฤษไปค่ะ  เพราะตรูเขียนเรียงความ ภาษาฟินน์ตกแกรมม่า  (ก็ตอบภาษา ประมาณ 3 บรรทัดแรก ทั้ง 3 คำถาม แล้วอธิบายเป็นอังกฤษ

ก็ ตก เหมือนเดิม...





ตอนนี้ ทาง มหาลัยกำลังเปิดรับสมัคร ซึ่ง ป้าลีกับลูกชายก็สมัครของ Mtropolia   ลูกชายก็จบ อัมมัตติ เทอมนี้ พอดีค่ะ  มาอยู่ฟินแลนด์ได้ 3 ปีเต็ม (ทำใมเรียนเร็วจัง เพราะว่า นางเรียนภาษาฟินน์ แค่ 10 เดือน แล้วแม่บังคับไปสอบ อัมมัตติเลย บอกนางให้ไปนั่งหูตึงเป็นใบ้ สักหนึ่งเทอม ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะไงเค้าจับไปเรียนภาษาฟินน์อยู่ค่ะ เรียนอังกฤษ หรือ สวีดิช ด้วย)

ตอนนี้ นางก็พูดได้ทั้ง ภาษาฟินน์ และ ภาษาอังกฤษ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมานี้ คือ เป็นใบ้ในช่วงแรก ตามที่แม่บอกเด๊ะๆ  หลังๆมามันก็ปรับตัวได้ของมันเองแหละ  สมองอย่าใบ้ก็เป็นพอ

ตอนนี้ ป้าลียกธงขาวแล้วค่ะ วันนี้สมัครไปสอบเป็นเพื่อนลูกเฉยๆ  แต่ตั้งใจไปเรียนต่อภาคภาษาอังกฤษแล้วค่ะ ใน Ph.D  พร้อมๆ กับ ทำบริษัทไปด้วยในตัว ที่เล่าไปแล้วก่อนหน้าว่า อยู่ระหว่างดำเนินการ

คือ ทุกอย่างไม่มีไรง่าย คุณต้องเข้าใจ แต่ขอให้ทุกคนสู้ และหาทางเดินให้ตัวเองให้ได้ อย่านั่งอยู่แต่บ้าน ไม่มีใครสร้างเส้นทางมาหน้าบ้านคุณแน่นอน  การใช้ชีวิตเมืองนอกยากมาก

แต่ที่นี่ฟินแลนด์ ถือว่า สะดวกสบายสุดแล้ว ถ้าเทียบกับการที่เด็กไทยตต้องดิ้นรนไปเรียนเมืองนอกเมืองนา เพราะว่าที่นี่ ไม่ต้องเสียค่าเทอมไงคะ ตลอดทุกหลักสูตรที่กล่าวมา มีแต่จะให้เงินและให้สวัสดิการต่างๆ ตามที่เล่าเอาไว้ ก่อนหน้านี้นะคะ



วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คอร์สวิชาชีพ ระยะสั้น ที่ฟินแลนด์...... “ทางลัดสู่หลักสูตรเต็มวิชาชีพ”


เป็นคอร์สวิชาชีพ ที่ป้าลีตัดสินใจไปเรียนเพราะเบื่อการเรียนภาษาฟินน์ (หัวไม่ดี แก่แล้วจำไม่ค่อยได้)
ไปนั่งอ้อนกับ เตื้อฯ หรือ เตเอ (สนง.แรงงาน) หลังจากที่เรียนภาษาฟินน์(ระดับ 0) หลักสูตรประมาณ สองเดือนครึ่งผ่านไป
พร้อมโชว์จดหมายตอบรับการให้เข้าเรียนของโรงเรียนนั้น ให้ เตเอดู (หลังจากที่ส่งจดหมายสมัครเรียนไปกับทางโรงเรียนก่อนหน้านั้นแล้ว และโรงเรียนก็ตอบกลับมา)

ซึ่งเตเอก็ต้องยอมให้เรียนแหละ เพราะมีจดหมายตอบรับแล้ว เพียงแต่เตเอเป็นห่วงแค่นั้นเอง เพราะต้องข้ามจากที่จะต้องเรียนภาษาฟินน์ต่อเนื่อง
จาก 0 ไป ซัวมิ 1-2 -3 ถามแล้วถามอีกว่า เธอแน่ใจนะว่าจะไม่เคลียด
การเรียนต้องใช้ภาษาฟินน์นะ ไม่ใช่อังกฤษ จะเรียนไหวแน่นะ

(เตเอพยายามดึงไปเรียน ภาษาฟินน์ ให้พูดรู้เรื่อง ฟังเข้าใจ เขียนได้ถูกต้อง เสียก่อนแล้วค่อยไปเรียนวิชาชีพได้และนั่นก็คือต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งปีโดยประมาณ)
แต่แล้ว..... ชีวิตการเรียนวิชาชีพของป้าลีก็เริ่มขึ้นจนได้



สถาบันค่ะ



เป็นหลักสูตรจับฉ่าย คือ ปูพื้นฐาน ในสายอาชีพว่าเราอยากเรียนอะไร ชอบอะไร แล้วค่อยไปต่อ วิชาชีพในสาขานั้นๆ

ซึ่ง หลักสูตรนี้ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณห้าเดือน เป็นหลักสูตรภาษาฟินน์ และเรียนร่วมกับเพื่อน ชาวรัสเซีย ชางอังกฤษ ตุรกี บราซิล มองโกเลีย

การเรียนก็คือ จาก 08:00-13:30 ณ โดยประมาณ (บาง ศ ก็ไม่มีเรียน)
ทำอาหาร (ตั้งแต่ทำอาหาร การจัดโต๊ะ การกิน จับช้อน วางแก้ว การเสิร์ฟ เรียกว่าเรียนทั้งทั้งหมดเลยแหละ)









มีทั้งจักรเย็บและจักรที่ใช้เก็บขอบ



เย็บจักร ตัดผ้า งานฝีมือ (เบื้องต้นเย็บผ้า ตัดชุด งานซ่อมเสื้อผ้าต่างๆ ถักไหมพรหม ทำตุ๊กตา ไรงั้น)
ชั่วโมงภาษาฟินแลนด์ (โดยครูซานน่า)
ทำความสะอาด (เรียนรู้การใช้เครื่องจักร เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องเป่าแห้ง เครื่องรีดทั้งขนาดเล็ก ใหญ่ กลาง )
ทำความสะอาด เครื่องประดับ เพชร พลอย ร้องเท้า พรหม ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว และอื่นๆ
เรียนจัดดอกไม้ ในเทศกาลพิเศษ



อุปกรฟรีทุกอย่างค่ะ



ชั่วโมงไปเยี่ยมชมสถานบันอื่นๆ เช่น ออกแบบลายผ้า ช่างภาพในห้องสตูดิโอ ออกแบบแพทเธิ่น และอื่นๆ
(ตรงนี้ป้าลีชอบมากเพราะได้เห็นได้รู้ ระบบของที่นี่ว่าเค้ามีอะไรบ้าง ต่างจากบ้านเรายังไง ป้าลีสนใจและเก็บข้อมูลในสิ่งต่างๆ


และหลักสูตรนี้เรียนรู้เกี่ยวกับ อาหารที่ถูกหลักอนามัย การทำความสะอาดบ้าน จัดการขยะ กรณีที่เราไปเป็นคนเฝ้าไข้ ที่ต้องดูแลคนป่วย (เป็นหลักสูตรที่ต้องไปเรียนสาขาผู้ช่วยพยาบาลอีกที)




อาหารกลางวันที่โรงเรียนและ ฟรีตลอดหลักสูตรค่ะ  


ที่กล่าวมาทั้งหมด หลักสูตรจับฉ่ายนี้ทำให้รู้ว่า เราชอบอะไร ตรงใหนเราก็จะไปต่อวิชาชีพนั้นๆ อีก 2-3 ปี ในอัมมัตติ

หลักสูตรปูพื้นฐาน จะช่วยให้เรามีใบประกาศฯ อันแรกเพื่อนำไปสมัครในขั้น วิทยาลัย หรือ ที่เรียกกันว่า อัมมัตติ (Ammatti) นั่นเอง โดยได้สิทธิพิเศษมากกว่าการเรียนแค่ภาษาซัวมิจากคลาสในโปรแกรมเตื้อเพราะเป็นศิษย์เก่าของที่นี่อยู่แล้วไรงั้น

ระหว่างเรียนมีอาหารกลางวันให้ฟรีตลอดหลักสูตรนะคะ (จากนักเรียนกุ๊กอัมมัตติ)


สรุประยะเวลาเริ่ม
เมษา ถึง มิถุนา 2012 ป้าลีเรียนภาษาฟินน์ขั้น 0

(มิ.ย. ถึง ต้นเดือน สิงหา กลับไทยเพราะ ซัมเมอร์)

เดือน สิงหา เรียนคอร์สวิชาชีพ ถึง 20 ธ.ค. จบหลักสูตร ระหว่างเรียนวิชาชีพก็เรียนภาษาฟินน์และอังกฤษภาคค่ำ ควบไปด้วย

เรียนต่อ อัมมัตติ หลักสูตร 2 ปีครึ่ง เริ่มเดือน ม.ค.2013     (ตรงนี้ มีค่าใช้จ่าย แรกเข้า ประมาณ 200 กว่ายูโร ค่าชุดกุ๊กสีขาวหมวกแดง กับชุดต่างๆ ตรงนี้โซเซียช่วยได้เช่นกัน) 

แต่ตอนนี้ป้าลีเบรคอัมมัตติแล้ว  ย้ายเข้าเฮลซิงกิเพราะชีวิตเปลี่ยนแปลง (แต่งงาน) 





ป้าลีได้รับรางวัลด้วยนะคะ เป็นเงินสดบวกการ์ดน่ารักๆ 
ทั้งโรงเรียนในรุ่นนั้นมีแค่ 4 คนเท่านั้น สามคนเป็นนักเรียนชาวฟินแลนด์ 
(รางวัลที่ได้น่าจะเป็นเรื่องการปรับตัว การเข้ากับกลุ่ม การแก้ไขปัญหา ประมาณนั้นน่ะค่ะ คงไม่ใช่เรียนดีเพราะภาษาป้าดีอ่อนสุดในชั้น และขาดเรียนบ่อยสุดทั้งป่วยและเที่ยวในวัน ศ หรือ วัน จ )


นี่แหละค่ะ หนึ่งปีรวมฮอลิเดย์ในซัมเมอร์ ก็ได้ทั้งวิชาชีพขั้นต้นและภาษาฟินน์(แบบลวกๆ) แต่ข้อดีคือได้ไปต่อวิทยาลัยเร็วขึ้น หรือจะไปฝึกงานตรงนี้ก็จะง่ายขึ้นเช่นกันเพราะว่าเราผ่านวิชาชีพขั้นต้นมาแล้ว


เรื่องค่าใช้จ่ายแรกเข้า ป้าลีขออภัยนะคะ จำไม่ได้แน่นอน (เกรงว่าจะตกหล่นเรื่องตัวเลขอีก) แต่เข้าใจว่าฟรี หรืออาจจะมีบ้างเล็กน้อย ที่ป้าลีอาจไปขอกับโซเซียก็เป็นได้

แต่ค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่มีค่ะ แถมถ้าเราเอาอาหารกลับบ้านก็ซื้อได้แบบถูกๆ ในราคานักเรียนน่ะแหละ (แต่กินที่โรงเรียนไม่ต้องจ่ายค่ะ ทำเองกินกันเอง)


ป.ล. ที่นี่เป็นต่างจังหวัด อาจแตกต่างกับเฮลซิงก็ได้ และการเรียนของป้าลีเป็นลักษณะ (แอบพูด) อังกฤษ และพัฒนาภาษาฟินแลนด์ไปเรื่อยๆ (ยอมรับว่าภาษาฟินน์ของป้าลีอ่อนสุดในห้องเรียนเลยทีเดียว ถึงตอนนี้ก็แอบลืมไปบ้างแล้วด้วย)

โรงเรียนภาคค่ำค่ะ  ค่าเรียน 85 ยูโรต่อปี เรียนภาษากี่ภาษาก็ได้ต่อปี



ถ้าสาวๆ อยู่จังหวัดอื่นก็ให้ลองเช็คโรงเรียนแบบนี้ในจังหวัดของท่านดูนะคะ เผื่อระบบอาจจะคล้ายๆ กัน

ประสบการณ์สอบเข้าเรียน วิชาชีพ ในฟินแลนด์


สวัสดีค่ะ 

วันนี้ป้าลีมาแชร์ประสบการณ์สอบเข้าเรียนวิชาชีพ ของ Stadin Ammattiopisto ในเฮลซิงกิ ค่ะ

หนังสือเรียกสอบเพื่อวัดระดับภาษาค่ะ

ขั้นแรกเราจะกรอกใบสมัคร ทางเว็บไซด์นะคะ



(ป้าลีไปเรียนภาษาฟินน์ ระดับ  B1.2 ที่ Edupoli ที่ ติ๊กกูริลล่ะ และครูพาสมัครในห้องเรียน)

หลังจากที่เรากรอกใบสมัครเว็บไซด์ เค้าก็จะส่งจดหมายเรียกตัวไปสอบวัดระดับภาษาก่อนนะคะ เค้าต้องการระดับ A2.2 ขึ้นไป (วิชาชีพบางสาขาต้องการสูงกว่านี้นะคะ)

เริ่มสอบ 09.00 แต่ต้องไ่ปก่อนเวลา ครึ่งชั่วโมงค่ะ 

1.ไปถึงก็ต่อคิว เช็คชื่อค่ะ  ยื่น เรสซิเด้น เปอมิท หรือ พาสปอร์ต หรือ ใบประชาชน หรือ ใบขับขี่ฟินแลนด์ ก็ได้ค่ะ
2.เดินเข้าห้องสอบข้อเขียน (คนสอบประมาณ 300 กว่าคน)  ต้องเอาบัตรต่างๆ ถือในมือ และดินสอ กับ ยางลบเท่านั้น ทุกอย่างใส่กระเป๋า วางไว้ที่กำแพงห้อง มือถือปิดเครื่องให้สนิท(บางคนบอกปิดแล้วแต่ยังดังสนั่นปฐพี)
เดินไปนั่งเก้าอี้ เว้น เก้าอี้ค่ะ

เริ่มทำข้อสอบ กฏกติกามีอย่างเดียว "ห้ามช่วยเพื่อนข้างๆ" ฮาาาา ครูคุมสอบพูดแบบนี้จริงๆ ค่ะ

3.เริ่มสอบข้อเขียน มี 2 ข้อ เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง
3.1 มีข้อความให้อ่านประมาณ 1 หน้ากระดาษ  ให้อ่านแล้วตอบคำถาม 6 ข้อ
   เป็นช้อยค่ะ ให้กากบาทเลือกอันใดอันหนึ่ง โดยอ่านจากข้อความที่เค้าให้มา
   (ข้อความเป็นศัพธ์ที่ค่อนข้างยาก และซับซ้อน ต้องฝึกอ่านเยอะๆค่ะ  และคำถามง่ายๆ เช่น ในข้อความบอกอะไร... ถามง่ายมั๊ยคะ?  แต่คำตอบช้อยจะสับสนค่ะ  เพราะว่าเจอช้อยหลอก และหลอกทุกข้อค่ะ ระมัดระวังให้ดี)

   3.2  คำสั่งง่ายๆ  ให้เขียนข้อความในกระดาษว่างๆ ที่เค้าให้มา  คำสั่งที่ว่าง่ายคือ  ให้เขียนเกี่ยวกับ ความรู้สึกครั้งแรกที่มาถึงฟินแลนด์ ง่ายมั๊ยคะ
คือ มันถามน่ะง่าย แต่ ตอบอ่ะยากชิปเป้งเลย

เพราะมันต้องตอบเป็น เทนส์ของการเวลาในอดีต ซึ่งมันจะต้องเขียนทั้ง อดีตที่จบไปแล้ว และ อดีตที่ยังคงต่อเนื่องถึงปัจจุบัน  
(ดีนะที่ป้าลีลงเพจภาษาฟินแลนด์เรื่อง ของ เทนส์ต่างๆ พอดีเลย ทำให้ตอนสอบ จำได้ คริๆ  ขอบคุณบล็อคแก๊งค์) สอบเสร็จ ลืมเสร็จหมดจรด

สอบเสร็จ เอากระดาษไปส่ง ครูหลังห้องค่ะ  ซึ่งเค้าจะให้กระดาษหนึ่งแผ่นมากรอก ก่อนจะไปห้องสัมภาษณ์ และเค้าจะเขียนเบอร์ห้องสัมภาษณ์ให้เราก่อนออกจากห้อง

และก็เดินออกไปกรอกกระดาษแผ่นนั้น ซึ่งต้องยื่นให้ครูคนที่สัมภาษณ์เราค่ะ

ป้าลีได้ห้องเบอร์ 101 ค่ะ อยู่ชั้นหนึ่งของตึกนั้นแหละ (ที่อยู่ในรูปแล้วค่ะ)

4.สอบสัมภาษณ์ ตอน 12.30 ค่ะ  ต่อคิวหน้าห้องสอบ
4.1 ถามว่า มาจากใหน
4.2 เรียนที่ใหนอยู่ตอนนี้ และเรียนอะไร  ภาษาได้ระดับใหน (ก็ตอบอธิบายไป)
4.3 มีลูกหรือเปล่า แต่งงานเป็นครอบครัว อียูมั๊ย
4.4 ได้เงินสวัสดิการรัฐมั๊ย ?
4.5 แล้วทราบหรือไม่ว่า การเรียน  MAVA จะไม่ได้เงินจากรัฐนะ
4.6 ต้องการเรียนวิชาชีพ สาขาอะไร
4.7 เรียนเต็มเวลาได้มั๊ย (ระบุเวลามาให้ คือ 08.00-16.00)
4.8 เรียนจบอะไรมาจากประเทศตัวเอง

คำถามมีเท่านี้ค่ะ  ไม่ยาก  แต่มันจะยากตรงที่เราต้องตอบ และอธิบาย ซึ่งเค้าจะฟังเรา ว่าภาษาที่เราฟัง และพูดนั้น แค่ใหน อย่างที่บอก ตอบสิ่งที่ผ่านมาแล้วในภาษาฟินน์ มันยากสำหรับป้าลีน่ะค่ะ

ประมาณ ไม่เกิน 10 นาทีค่ะ ก็จบสัมภาษณ์ และให้คำตอบเรามาเลยว่า สัมภาษณ์ของเราได้ระดับใหน  ซึ่งของป้าลีได้ ระดับ  A2.2 และน้องคนไทยที่สอบห้องเดียวกัน ได้ระดับ  B2 ซึ่งน้องเค้าก็เก่งจริงค่ะ พูดเป๊ะและชัด ป้าลีอิจฉาฝุดๆ แต่อยุ่ 5 ปีกว่าแล้ว ทำใมพึ่งมาเรียนก็ไม่รุ้นะ อาจจะแต่งงานแล้วตั้งท้องหรือไรงี้)

ส่วนคำตอบข้อเขียน เค้าจะจัดส่งมาให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ค่ะ ซึ่งป้าลีก็รอคำตอบอยุ่ตอนนี้

ส่วนตัวป้าลีคิดว่า สอบผ่านข้อเขียน แต่ถ้าป้าลีทำได้แปลว่า อีก 300 คนนั้นก็ทำได้แน่นอน อิอิ (เพราะว่าป้าลีโง่สุดแล้วแหละในระดับนั้นที่ไปสอบ อัมมัตติ)

และป้าลีระบุที่ครูสัมภาษณ์ไปเรียบร้อยเลยว่า ต้องการเรียน สาขาช่างซ่อมบ้านเท่านั้น สาขาอื่นไม่เอา และไม่เรียนให้คิวคนอื่นไปได้เลย เพื่อที่เค้าจะได้ไม่เสียเวลาที่จะจัดคนน่ะค่ะ เพราะถ้าเรียกเราแล้วเราไม่ไป เค้าต้องเรียกคนอื่นใหม่อีก

ตอนนี้ก็นั่งๆ นอนๆ รอผลค่ะ เพราะเปิดเทอมหลังปีใหม่เลย
(ป้าลีแพลนไว้ว่า ถ้าไม่ได้ จะหาสอบที่อื่น ที่เป็นสาขาช่างซ่อมบ้านเช่นกัน)


ปล. เมื่อปี 2013 ต้นปี ซึ่งป้าลีได้เข้าเรียน วิชาชีพ ที่ จังหวัด  Jyväskylä  เป็นหลักสูตรวิชาชีพ ทำความสะอาด  ตลอดหลักสูตร เรียน  2.5 ปี 
 
แต่ ณ ตอนนั้นป้าลีไม่ต้องสอบเข้า เนื่องจากว่า ป้าลีเป็นศิษย์เก่าที่เรียนหลักสูตรระยะสั้นของโรงเรียนนั้นมาก่อน คือหลักสูตรระยะสั้นที่ว่าคือ การดูแลบ้าน ซึ่ง สาขานี้จะ ทำอาหาร จัดดอกไม้ ทำความสะอาด ดูแลคนป่วยในบ้าน จัดการแยกขยะ เย็บผ้า ไรงี้น่ะค่ะ 

 แต่เมื่อย้ายมาเฮลซิงกิ ป้าลีก็ไม่ได้เรียนต่อ ตลอดทั้งปี 2013 ทำให้ลืมภาษาฟินน์ไปหมดเลย  อาจเป็นเพราะว่าเราเรียนภาษาอังกฤษในช่วงนั้น(เพราะเรียนกอล์ฟตลอดปี)

ก็เลยต้องมาเริ่มเรียนภาษาฟินน์ใหม่ ต้นปี 2014 ปีนี้เองค่ะ

เพิ่มเติม... ณ 4 ก.พ.2015
ตอนนี้ป้าลีสอบเข้า stadin  ได้เรียบร้อยแล้วค่ะ เริ่มเรียน ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. แล้วค่ะ (ก็เลยไม่ได้เข้ามาอัพเดทบล็อคเท่าไหร่ เพราะยุ่งๆ )

เพจหน้าป้าลีจะมาแชร์ หลังเข้าเรียนแล้วเป็นเช่นไร ติดตามต่อไปนะคะ

เงิน ค่าเดินทาง สำหรับนักเรียน ในฟินแลนด์


ก่อนหน้านี้ ได้เกริ่น เงินสวัสดิการนักเรียน หรือ  Opintotuki ของนักเรียน ไปแล้ว ใครยังไม่ได้ติดตาม ลองเปิดลิ้งค์นะคะ

 //www.bloggang.com/viewblog.php?id=leejayfinland&date=23-11-2014&group=18&gblog=24  

 วันนี้เล่าถึง เงินสวัสดิการค่าเดินทางในการไปเรียน สำหรับใครที่อยู่บ้านไกลกันค่ะ
บ้านป้าลีอยู่คนละฝั่งของเฮลซิงกิค่ะ  34 กิโลเมตร ไปกลับก็ เกือบ 70 กิโลเมตรว่างั้น

ซึ่งถ้าใช้บริการรถเมล์ จะต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง ไปกลับ.. ก็เลยไม่สะดวกในการใช้รถสาธารณะเหมือนเพื่อนๆ ค่ะ เพราะต้องรับส่งลูกสาวและลุกชาย ที่เรียนในเฮลซิงกิอีกด้วย(วันหลัง แชร์เรื่องการใช้รถ ใช้ถนน ในฟินแลนด์กันค่ะ)

เมื่อบ้านไกล ค่าน้ำมันก็ตกประมาณ 200 ยูโร ต่อเดือน ก็เดือนร้อนนะคะ เพราะว่าค่อนข้างเยอะ ปกติคนไปเรียนจะเสียค่ารถเมล์ในการเรียนประมาณ เดือนละ 50 ยูโรต่อเดือน(บัตรรถเมล์ ราคานักเรียนค่ะ ใช้ได้ทั้งรถไฟ รถเมล์ หรือ แทรมค่ะและใช้ในเฮลซิงกิ และเมืองปริมณฑลนะคะ)

ป้าลีก็ไปขอเงินค่าเดินทาง กับเกล่าค่ะ เค้าจ่ายตามนี้

133 ยูโร ต่อเดือน และเค้าแจ้งมาเสร็จสรรพ ว่าป้าลีต้องจ่ายเอง อีก 43 ยูโร(ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไรกัน)

ปล. คนไทยบางนาง ได้เดือนละ 300 กว่า ยูโร เพราะบ้านนางไกล 60 กิโลเมตรกับที่เรียน คือได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ระยะทางด้วยค่ะ

เงินตรงนี้ไม่ต้องคืนค่ะ ให้ฟรี แต่ให้เฉพาะเดือนที่มีเรียน คือ 10 เดือนต่อปี เพราะ ไม่ให้ตอนปิดเทอม เดือน มิถุนายน และ กรกฏคม เป็นเวลา 2 เดือน

หลักการขอ ก็แจ้งเค้าว่า มาขอสมัครเงินสวัสดิการค่าเดินทาง เค้าก็จะให้แบบฟอร์มมาค่ะ(ลืมถ่ายรูปฟอร์ม แต่เปิดดูในเว็ปของเกล่าได้ค่ะ)

ในฟอร์มก็จะถามเหตุผลว่าทำใมเราไม่ใช้เมล์  ซึ่งเราก็ต้องแจ้งไปว่า บ้านเราไกลแค่ใหน ถึงใหน
ถ้าขึ้นรถเมล์ ลำบากอย่างไร ต้องนั่งกี่ต่อ และนานกี่ชั่วโมง หรือ นาที ต้องระบุลงไปอย่างละเอียด

เสร็จแล้วนำ เอกสารไปประทับที่โรงเรียนค่ะ เค้าจะมีอาจารย์ท่านที่หรับผิดชอบประทับตราให้เรา เค้าก็จะตรวจสอบว่า บ้านเราตามที่อยู่นั้น ไกล ตามที่เราแจ้งขอไปมั๊ย เสร็จแล้วนำเอกสารกลับไปให้เกล่า (จะนำไปเอง หรือ ใส่กล่องไปรษณีย์ สีเหลืองๆ ที่ใหนก็ได้ค่ะ เพราะว่าซองเราถือมาจากเกล่า มันจะระบุที่อยู่และแสตมป์ของเค้าอยู่แล้ว เราแค่หย่อนลงตู้ก็พอค่ะ)

เค้าใช้เวลาพิจารณา 2 อาทติย์เต็ม  หลังจากนั้น เงินก็จะถูกโอนเข้าบัญชี นับจาก วันที่เค้าพิจารณา รับใบสมัครของเราค่ะ (ถ้าเราขอล่าช้า เค้าไม่จ่ายย้อนหลังให้เหมือนเงิน จาก เตเอนะคะ ต้องรีบยื่นสมัครนะคะ นับจากวันที่เราเปิดเรียน เน้นค่ะ ว่ารีบยื่น เงินสวัสดิการนักเรียนก็เหมือนกัน เค้าจะไม่จ่ายย้อนหลังให้ค่ะ ระมัดระวังนะคะ)

เงินสวัสดิการ นักเรียน ของ ฟินแลนด์ หรือ Opintotuki และเงินกู้เรียนของประเทศนี้


ก่อนจะไปเล่าเรื่อง ระบบการเรียนของประเทศฟินแลนด์ ป้าลีขอข้ามไปเล่าถึง เงินสวัสดิการนักเรียน นักศึกษา(ในกรณีที่ถือ วีซ่าครอบครัว Resident permit)

   เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ป้าลีเข้าไปถาม สำนักงาน เกล่า เรื่องเงินสวัสดิการนักเรียนของเคสป้าลีเอง
   สาเหตุที่ต้องเข้าไปถามเพราะว่า ป้าลีถูกงดเงินช่วยเหลือในการปรับตัว 3 ปี ตามกฏ (ป้าลีใช้สิทธิเพียงแค่สองปี เพราะว่า ถือวีซ่านักเรียนเมื่อปี 2013)

   ทำใมถึงถูกงด(เรื่องมันซับซ้อน นิดหน่อยค่ะ)
-คือ ตอนนี้ป้าลีเข้าเรียนคอร์ส ภาษาฟินน์ ระดับ  B1.1 เป็นหลักสูตรของ เตื้อฯ
แต่จริงๆ แล้วป้าลีสอบยังไม่ผ่านระดับ  A2.1 ด้วยซ้ำ (สาเหตุเพราะกลับไทย แล้วกลับมาก็เดินเข้าห้องสอบเลย ทำให้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์)

   คือการจะไปเรียน ระดับ  B1.1ได้นั้นเราต้องจบ  A2.1 หรือ A2.2 เสียก่อนนะคะ เพราะว่าต่อให้ได้เข้าไปเรียนระดับที่สูงขึ้น แต่ด้วยว่า ภาษาฟินน์ เป็นภาษาชนิดพิเศษถ้าเราไม่จบจริงๆ จากหลักสูตรหนึ่ง ต่อด้วยหลักสูตรถัดไป  มันจะทำให้เรางง หนักไปหลายสเต็บทีเดียว เทวดาหน้าหล่อที่บ้านก็ช่วยเสกให้ไม่ได้ คริๆ

   แล้วทำใมป้าลี อยู่มาตั้งหลายปี แล้วยังไม่ผ่าน เอ สอง หนึ่ง อยู่ฟวะ (เรียนยังไงของแกอีป้า... ตอบ... ก็ป้าลีข้ามไปเรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นไง แล้วก็มาหยุดเรียนหนึ่งปี เพราะว่าถือวีซ่าผิดประเภท ทำให้โดดไปเรียนกอล์ฟแทน ซึ่งใช้แต่ภาษาอังกฤษทั้งปี ลืมภาษาฟินน์ ที่มีอันน้อยนิด )

   ทีนี้หลักสูตรบีหนึ่ง ซึ่งป้าลีตามไม่ค่อยจะทัน เรียกว่าโง่สุดในชั้นแล้วแหละ แต่ก็ยังดันตามคลาสอยุ่นะคะ  จนกระทั่ง ได้รับจดหมายจากโรงเรียนวิชาชีพแห่งหนึ่ง ในเฮลซิงกิ ชื่อ  Stadin  เรียกสอบสัมภาษณ์ และข้อเขียน ในวันที่ 9 ธันวา 2014 ก็คือ อีก หนึ่งเดือน และทางสถาบันวิชาชีพส่วนใหญ่แล้วเค้าจะกำหนดว่า ภาษาฟินน์ของเราต้องขั้นต่ำ เอ สอง สอง (ขั้นต่ำนะคะ บางสาขา กำหนดที่ บีหนึ่งด้วยซ้ำ)

  เอาล่ะสิ ทีนี้... ความซวยมาเกิด เพราะว่าอีป้า ต้องการจะเข้าเรียนต่อ ช่างซ่อมบ้านให้ได้ภายในต้นปี 2015 นี้ซะด้วย แต่ภาษายังห่วยแตก (ไปฝึกงานเป็นพนักงานขาย ก็ใช้แต่ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาฟินน์ของป้าลี ทำให้ลูกค้าหันหน้าหนี ขายของไม่ออกซะงั้น)

   ก็เลยต้องขอยกธงขาว เพื่อจะไปเรียนจริงจัง ให้จบ เอ สอง สอง ก่อนวันสัมภาษณ์ว่างั้น
   รายงานถึง เตื้อฯ เค้าบอกมาเลยว่า เตื้อฯไม่จ่ายนะคะ ถ้าคุณป้าลีจะละทิ้งหลักสูตร บีหนึ่งของทางเรา....

   ป้าลีก็เลยต้องเดินเข้า เกล่า เพื่อไปถามให้แน่ชัดว่า หลักสูตรที่อีป้าจะเรียนนี้ เกล่าจ่ายหรือไม่ และมีสวัสดิการอะไรให้อีกบ้าง  คำตอบคือ เคสของป้าลี จะได้

Opintotuki

   1.จำนวน 245 ยูโร ต่อเดือน ตรงนี้ได้ไปจนกว่าจะจบการเรียนการศึกษา(เมื่อต้นปี เคยไปถาม ได้ประมาณ   290 ยูโรต่อเดือนนะคะ หรือว่า ป้าลีจำผิดก็ไม่แน่ใจ แต่เอาเป็นว่า โดยประมาณการ ก็แล้วนะจ๊ะ)
   2.สามารถขอยืมเงินของเกล่า ได้เดือนละ 400 ยูโร แต่เงินนี้ต้องจ่ายคืน ณ ตอนที่มีเงินได้

เงินสองส่วนนี้ สามารถขอได้ แม้ว่าจะเรียนในประเทศฟินแลนด์ หรือไปเรียนในยุโรปที่ใดที่หนึ่งก็ได้เช่นกัน  แต่ขอให้นำเอกสารมาผ่านการพิจารณาจากเกล่าก่อน

คำถามป้าลีคือ

แล้วเงินคืนตรงนี้ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ (ตอบ...นิดหน่อย ประมาณ หนึ่ง เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ต่อ ปี หรือต่อ เดือนไม่ทราบแน่ชัดค่ะ พอดีฟังภาษาฟินน์ไม่ได้ศัพธ์ ณ ตรงนี้พอดีเลย)

คำถามถัดมา

แล้วจะคืนเงินอย่างไร มีเกณฑ์ อย่างไร
ตอบ.... เงินคืนตรงนี้ คิดตามสภาพเงินได้ของเรา ว่าสามารถอยู่รอดได้มั๊ย หากต้องจ่ายหนี้คืนเกล่าในแต่ละเดือน

คำถาม... ต่ออีก

อ้าวแล้วถ้าเงินไม่พอคืนเกล่า ป้าลีต้องทำอย่างไร....

ตอบ... ก็มีสำนักงานช่วยเหลือ ถัดไป.... คือ โซเซียอะลิฯ (แปลว่าอะไร... ใครไม่รุ้จักโซเซียฯ หันไปถามเพื่อนข้างๆ นะคะ...)   แต่ป้าลีใบ้นิดหน่อย คือ โซเซียก็คือหน่วยงานที่ให้เงินเรา กรณีที่เงินเราไม่พอใช้จ่ายต่อเดือน และให้ฟรีด้วยค่ะ แต่ต้องไปสมัครขอรับ และเดินตามเงื่อนไขของทางสำนักงาน ...

เอ๊ะ... ก็แปลว่าถ้าเราจ่ายหนี้คืนเกล่า แล้วไปขอเงินโซเซียฯมาใช้แทน ก็เท่ากับว่าได้เงินฟรีอยู่ดี...
จริงค่ะ... เป็นไปในทิศทางนั้น แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของเค้าน่ะแหละ... ใบ้แล้วนะเนี่ย...

ส่วนสวัสดิการอื่นๆ ที่นักเรียนจะได้รับ ก็ประมาณว่า  ค่าเช่าบ้าน(ถ้าสามีเงินได้ต่ำกว่าที่กำหนด) ค่ารถ เดินทาง ค่าอาหารที่ขายให้ราคานักเรียน  ค่าบัตรต่างๆ กรณี ว่ายน้ำ หรือ ออกกำลังกาย ค่าท่องเที่ยวบ้าง เช่น กรณีมีบัตรนักเรียน นักศึกษา สามารถเข้ามิวเซี่ยม หรืออะไรต่างๆ หลายที่ฟรีในยุโรป(เค้าจะมีติดป้ายบอก ทั้งในเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย สวีเดน หรืออื่นๆ ก็เข้าฟรีได้ค่ะ ป้าลีเคยใช้มาแล้ว)

อ่ะ...ใครหาคำตอบอยู่ ถ้าไม่กระจ่าง หลังไมล์มาแล้วกันนะจ๊ะ...

การเรียน วิชาชีพ ที่ Stadin Ammattiopisto ,เฮลซิงกิ ...อันนี้ต้องอ่านนะคะ จำเป็นมากต่อการวางแผนการเรียนของคุณในฟินแลนด์



ตั้งกะ 19 ม.ค. 2015 ป้าลีเข้าเรียนที่  Stadin Ammattiopisto ที่ myllypuro,Helsinki ค่ะ เรียนหลักสูตร MAVA คือเรียนภาษาฟินแลนด์แต่เน้นสาขา ก่อสร้าง หรืองานอเจนซี่พวกขายอสังหาริมทรัพย์ หรือ ตกแต่งภายใน คือไม่เน้นทำอาหาร ไรงี้ค่ะ (เป็นรุ่นสุดท้ายค่ะ ตอนนี้ ไม่มีสาขานี้แล้ว)



นี่คือตึกที่เรียนค่ะ มี 3 สาขา คือ งานก่อสร้างและ ช่างทาสี

การเรียนในอัมมัตติมีข้อดีหลายอย่างนะคะ เช่น อาหารกลางวันฟรี  (แต่ก็เป็นอาหารพื้นๆ ที่อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง ตามสไตล์ฟินแลนด์แหละนะคะ...แต่ของฟรีกินไปเถอะ เพราะว่าประหยัดเงินไปหลายยูโร ต่อวันค่าอาหารกลางวัน )

แต่บางวันอาหารก็อร่อยค่ะ เช่น ซามอล อบ หรือ ไก่ในซอสเนย แต่ว่ามีสลัดกับนมให้กินทุกวัน

ส่วนการเรียน จะเรียนหลากหลายนะคะ เพราะว่า คอร์สที่เรียน เรียกว่า  MAVA  ก็คือ หลักสูตรหนึ่งปี แต่..... ตรงนี้ให้อ่านอย่างละเอียดนะคะ เพราะว่า คนไทยทั่วไป เข้าใจผิดว่า มาว่ะ เป็นการเรียนรวมเบสิค 

แล้วค่อยไปเลือกเรียนว่าจะเข้าอัมมัตติสาขาใหนต่อไปในอนาคตหลังจบคอร์สหนึ่งปีแล้ว

อันนี้เข้าใจผิดนะคะ(แม้จะไม่ผิดทั้งหมดก็เถอะ)  เพราะว่า ตอนสอบเข้าป้าลีระบุกับครูคนสัมภาษณ์เรียบร้อยเลยว่า ต้องการสาขาช่างก่อสร้าง หรือ ช่างซ่อมบ้าน เท่านั้น สาขาอื่นไม่เอา...
(ป้าลีเคยเข้าเรียน อัมมัตติที่ Jyväskylä แล้วค่ะ เป็นหลักสูตร 3 ปี แต่หยุดเรียนเพราะย้ายบ้านมาอยู่กับสามีที่ วานต้า)

และ เลขที่ออกก็คือ ป้าลีต้องระเห็ดมาเรียนที่ตึกแท่งสูงๆ ที่เห็นนี้ เพราะว่า ที่นี่คือการเรียน สาขาที่เกี่ยวข้องกับ การก่อสร้าง ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ศัพท์ที่เรียนในภาษาฟินน์ หรือ เบสิคการรับรู้เกี่ยวกับการก่อสร้าง และเครื่องจักร  ตามภาพนะคะ

 



ส่วนถ้ามีใครเรียน มาว่ะ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะเลือกสาขาอะไรต่อไป เค้าก็จะให้เรียนรวมๆ  ส่วนผู้ที่ระบุในสาขาอื่น เช่น ทำเบเกอรี่ หรือ ทำอาหาร หรือ ผู้ช่วยพยาบาล เค้าก็จะถูกส่งไปเรียนในมาว่ะ ของสาขานั้นๆ เพื่อรู้คุ้นเคยกับคำพื้นฐานและปรับตัวเพื่อเข้าในอัมมัตติของสาขาที่เค้าเลือกนั้น ต่อไป และ มาว่ะ บางสาขาต้องมีการฝึกงานด้วยค่ะ แต่ของสาขาป้าลีเรียนไม่มีการฝึกงาน(อันนี้ชัวร์ค่ะเพราะถามครูเรียบร้อยแล้ว ว่าข้อมูลตรงนี้เป็นอย่างไร ก่อนจะมาเขียนลงตรงนี้ค่ะ เพราะน้องๆ จะได้มีข้อมูลในการตัดสินใจและวางแผน )

แต่ป้าลีแพลนแบบนี้ค่ะ.... เข้าเรียน มาว่ะ แค่เทอมเดียว... แล้วโดดไปอัมมัตติเลยในเทอมฤดูไม้ร่วง หรือ เดือน สิงหาที่จะถึงนี้ ...

ทำใมต้องทำแบบนั้น เค้าให้เรียน หนึ่งปี ทำใมจะต้องโดดไปโน่นนี่อีกแล้ว ยายป้า...

คือ การจะเข้าเรียนอัมมัตติแบบหลังสูตร  3 ปีโดยตรงนั้น มันต้องสอบแข่ง

แต่ถ้าเรามาเรียนอยู่ในตึกแล้ว เราไปคุยกับ ครูที่เรียกว่า  OPO opettaja ของสาขาที่เราจะเข้า เช่นป้าลีก็ไปคุยกับ สาขาช่างซ่อมบ้าน แล้วถามเค้าว่า

ชั้นจะย้ายมาเรียนกับคลาสอัมมัตติ หลักสุตร  3 ปี ของโรงเรียนเธอนะ แต่ภาษาฟินน์ของชั้น ยังไม่ถึง B2 นะ จะเป็นปัญหาประการใดมั๊ย และข้อสอบประมาณใหน ในการสอบเข้า...

คำตอบคือ ไม่มีข้อสอบนะคะ ก็คือเข้าได้เลย แต่....สัมภาษณ์นิดหน่อย ว่าทำใมถึงอยากเรียน และถ้าภาษาซัวมิไม่เก่ง วิธีการแก้ปัญหาคืออะไร (ตอบไปว่า ก็พูดอังกฤษในยามขับขัน) คือ ป้าลีรู้ว่า เด็กๆชาวฟินแลนด์ที่เรียนร่วมกับเรา เค้าต้องการพัฒนาภาษาอังกฤษของเค้าอยู่แล้ว เค้าก็จะพูดทุกวันในภาษาอังกฤษ ส่วนเราก็พูดซัวมิทุกวันกับเค้า สลับกัน....

 (อันนี้ป้าลีก็ทำแบบนี้กับการเข้าเรียนอัมมัตติสาขาแรกเมื่อปี  2012 ทั้งๆ ที่ป้าลีมาอยู่ฟิแลนด์แค่ปีเดียว แต่ก็เข้าอัมมัตติได้เลย และภาษาซัวมิ ระดับ  เอ หนึ่งสามก็ไม่ถึงด้วยซ้ำณ วันนั้น  แต่ในฐานะศิษย์เก่า เค้าให้เข้าเรียนค่ะ เพราะว่า กว่าจะจบอัมมัตติ สามปี เราก็เก่งซัวมิแล้ว นี่คือคำพูดของครูผู้รับเราเข้าเรียนค่ะ)

ประเด็นคือ... คนไทย ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่า หนูไม่กล้าแม้แต่คิดจะสอบค่ะ ขอหนูเก่ง ซัวมิก่อน... (คำว่าเก่งนี่เมื่อไหร่จ๊ะ... ต้องจบ เบ สอง หรือ เซ เลยหรือเปล่าจ๊ะหนู)

การเรียน มาว่ะ ดีอย่างไร นอกจากอาหารฟรี(เรื่องกินเรื่องใหญ่นะ ยกเป็นข้อดีข้อแรกเลย อิอิ) ดีถัดมาคือ เราขอเข้าอัมมัตติได้เลย ถ้าเราเรียนอยู่ในตึกของเค้าแล้ว ในสาขาที่เราต้องการ แต่ถ้าเราไม่รู้ ณ วันแรก ที่เข้าเรียนมาว่ะ ก็อย่างที่บอก เราจะถูกส่งไปเรียนคลาสที่รวมๆ จับฉ่าย อาจจะอยู่ที่  Malmi,หรือที่ใดในเฮลซิงกิก็เถอะ คุณจะต้องเข้ามาสอบอัมมัตติในสาขาอื่นที่คุณพึ่งมารู้ตอนหลัง.... ดังนั้นตรงนี้คิดให้ดีนะคะ ก่อนสอบสัมภาษณ์

และถ้าใครที่กลัวไม่กล้าสอบ กลัวทำไม่ได้ ขอให้เข้าไปสอบเถอะค่ะ เพราะว่า ถ้าเรามาเรียนมาว่ะ หนึ่งปีแรก เค้าก็ให้เราเรียนภาษาซัวมิทั้งปีอยู่ดีน่ะแหละ พอจบ หลักสูตร ระดับภาษาเราก็จะขั้นต่ำ อยุ่ที่ เบ หนึ่ง อยุ่ดี...ตรงนี้เน้นนะคะ

เปรียบเทียบง่ายๆ คือ ถ้าเราไปเรียนภาษาฟินน์ที่อื่น ในระดับเดียวกันคือ จบแล้วได้ เบหนึ่ง แต่คุณจะต้องจ่ายค่าอาหารกลางวัน หรือถือไปจากบ้าน(ก็ต้องซื้ออยุ่ดีถูกมั๊ยคะ) และต้องไปสมัครเข้าสอบอัมมัตตินะคะ ไม่ใช่เข้าได้เลย
แต่ถ้าคุณเข้า มาว่ะ ก็คือจบ ใน เบหนึ่งขั้นต่ำ แต่คุณเข้าอัมมัตติได้เลย และดีกว่านั้นคือ ทำแบบนี้ค่ะ... เรียนเทอมเดียวแล้วเข้าอัมมัตติไปเลย ไม่ต้องเคลียดเรื่องสอบ  เค นะคะ 

ไม่ต้องเคลียดเรื่องเงินจากเตื้อฯ หรือ เกล่า... เพราะว่า ถ้าเราเดินตามนี้เราจะไม่หลงทาง หรือเสียเวลาค่ะ (อย่าลืมว่า คนบางคน อยู่ ห้าปี เจ็ดปีแล้วก็ยังเข้า อัมมัตติไม่ได้นะคะ เพราะว่าไม่กล้าไปสอบนี่แหละ ส่วนใครที่สอบแล้ว แต่สอบไม่ได้ อันนี้ป้าลีชื่นชมนะคะ คุณเป็นฮีโร่ค่ะ ต่อให้สอบไม่ได้แต่คุณก็ไม่ยอมแพ้)


มาต่อที่วิชาที่เรียนมีอะไรบ้าง...

มีคอมพิวเตอร์
คณิตศาสตร์

เคมี
ฟิสิกส์

มีเรียนภาษาอังกฤษ และเรียนภาษาซัวมิ รวมทั้งวัฒนธรรมของฟินแลนด์ด้วยค่ะ
แต่ทุกอย่างก็ต้องพูดและเขียน อ่าน ฟังเป็น ภาษาฟินน์นะคะ ภาษาอังกฤษก็คือเรียนควบกับภาษาฟินน์บ้างค่ะ ไม่ใช่อังกฤษทั้งหมด

เงินสวัสดิการ จากการเรียน อัมมัตติ ในฟินแลนด์

ถ้าถามว่า จะเขียนทำใมเรื่องนี้ ก้เน้นสำหรับใครที่ถูกตัดเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลค่ะ 




เคสนี้พูดถึงในกรณีที่อยู่ฟินแลนด์เกิน 3 ปีแล้วและไม่ได้เงินปรับตัวจาก TE แล้วด้วย

นั่นคือ

ถ้าคุณเข้ามาอยู่ฟินแลนด์และเรียนภาษาตามระบบของ สำนักงานที่ชื่อเตเอแล้วต่ออัมมัตติแบบต่อเนื่อง 


คุณก็จะได้เงินปรับตัวอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่เกิน สามปีก็ตาม (เตเอพิจารณาเป็นรายๆ ไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะได้เงินต่อเนื่องแหละถ้าเข้าอัมมัตติได้ก่อน 3 ปี)

แต่เคสของป้าลีจะแตกต่าง เพราะเกิดการผิดพลาดเรื่องถือวีซ่าผิดประเภท ทำให้เตเอ ระงับเงินช่วยเหลือทันที (ถูกระงับครั้งที่ 1 )

และโดดออกจากหลักสูตรการเรียนภาษาฟินน์ของเตเอ ถูกระงับครั้งที่  2
ตอนนี้ป้าลีอยู่ฟินแลนด์ครบ 4 ปี เป๊ะๆ
 เดือนม.ค. ที่ผ่านมานี้เอง  (4 ปีแล้วทำใมถึงจะยังได้เงิน ก็ย้อนไปเกี่ยวเนื่อง เรื่องการเรียนต่อเนื่องจากภาษาฟินน์ จนเข้าอัมมัตติน่ะค่ะ เค้าเลยเรียกว่าเรียนต่อเนื่อง แบบนี้ เตเอให้เงินอยู่)


 แต่เข้าเรียนอัมมัตติสาขาก่อสร้างบ้าน แม้จะอยู่ในระยะเวลาที่เตเอควรจะให้เงินต่อเนื่อง แต่ป้าลีก็ไม่ได้เพราะว่า ผิดเงื่อนไขของเตเอเรื่องประเภทของวีซ่านั่นเอง
(ป้าลีถูกระงับการจ่ายเงิน 2 ปีเต็มใน 2 ครั้งค่ะ  คือ  2013,2015)

แต่ตอนนี้เข้าเรียนอัมมัตติ(เป็นครั้งที่ 2  แต่ต่างสาขา)  ก็เลยลองส่งเมล์ถามเตเอดูว่าเราสามารถขอเงินตกงาน หรือเงินว่างงานได้หรือไม่ เตเอแจ้งว่า สามารถสมัครมาได้ 

แต่จะเป็นการว่างงานแบบคนฟินแลนด์ที่เค้าทำงานมาก่อนหน้าแล้วเกิดตกงานหรือลาออกจากงาน แล้วขอเรียนต่อ (ประมาณนี้นะคะ)  แต่จะให้แค่  2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นถ้ายังเรียนอยู่ให้ขอกินเงินนักเรียนแทน ถ้ายังเรียนไม่จบ (225 ยูโร ต่อเดือน บวกค่าเดินทางและสวัสดิการของนักเรียนด้านอื่นๆ)

แต่กรณีที่เข้าเรียนอัมมัตติไม่ได้ ก็ไม่สามารถขอเงินตกงานตรงนี้ได้ ต้องออกไปหางานทำสถานเดียว ถ้ายังไม่ได้งานก็ต้องไปฝึกงานน่ะค่ะ (ดังนั้นเงินว่างงานของป้าลีจึงแตกต่างจากสาวๆที่มาอยู่ฟินแลนด์ใหม่ แต่ยังไม่ได้ที่เรียนเค้าเลยให้กินเงินว่างงานที่บ้าน คือคนละกรณีน่ะค่ะ)

ถ้าถามว่า เงินว่างงานในกรณีนี้ได้เท่าไหร่ เค้าจะให้ไม่เท่ากันในแต่ละเคส เพราะจะคำนวณจากการส่งภาษีของเราก่อนหน้าที่จะตกงานน่ะค่ะ  (แต่ป้าลียังไมไ่ด้ทำงานแค่มีสิทธิขอรับเงินในหมวดนี้แค่นั้นเอง)
ซึ่งเงินว่างงานตรงนี้จะจ่ายรวมให้เรากรณีมีบุตรที่อยู่กับเราด้วย(ตรงนี้เน้นนะคะ) แต่จะไม่ได้ค่าเดินทางไปเรียนเหมือนเงินนักเรียน
เคสป้าลีรวมแล้วอยู่ที่ประมาณ  9xx  (บวกลบนิดหน่อยหลังภาษี) อันนี้รวมเงินลูกหนึ่งคนที่อยู่กับป้าลี

ปล.เงินลูกของคนว่างงานจะแตกต่างกับกรณีที่เด็กได้คนละ 100 ตามกฏหมายนะคะ เพราะเงินลูกก็ยังได้เข้าบัญชีปกติค่ะ ไม่ว่าเราจะเรียนในเคสเป็นคนว่างงานหรือไม่ก็ตาม (ฟังแล้วงงเน๊อะ) 


ปล.2 เงินว่างงานอันนี้ก็แตกต่างจากกรณีที่คุณได้เงินว่างงาน ณ ตอนที่เรียนในระยะสามปีแรก

มันอาจจะงงๆ แต่ว่า ที่เล่าตรงนี้เพราะต้องการให้ทราบว่า กรณีที่คุณอยู่เกินสามปีแล้วและไม่ได้เงินแล้ว แต่ถ้าต้องการจะเรียนทำไงถึงจะได้เงินต่อ เพราะว่าหลายคนพอไปทำงานแล้วเกิดเห็นอนาคตตัวเองลางๆขึ้นมา ไม่กล้าลาออกเพราะกลัวไม่มีเงินเลี้ยงลูก ตรงนี้ป้าลีก็เลยบอกว่า ถ้าเราออกมาทำงาน เราสามารถมาเรียนในสาขาที่เราชอบ แล้วขอกินเงินตรงนี้ได้ และสามารถของเงินช่วยในการตั้งธุรกิจส่วนตัว หลังจากเรียนจบในสาขานั้นๆ  เงินช่วยก็อยู่กับกิจการที่ทำค่ะ เช่น สาขาป้าลีเรียนและทำธุรกิจส่วนตัว เงินช่วยธุรกิจ ประมาณ 1000-2000 ยูโรต่อเดือน และเป็นเงินฟรีไม่ต้องกลับมาใช้คืน


หรือใครเรียนทำอาหาร ทำความสะอาด ทำบำบัด ทำขนมปัง หรือ กาแฟ หรือพิซซ่า คือ ก็ธุรกิจคนละอย่างไปตามสาขาของตัวเอง 


เห็นมั๊ยคะ ว่าโอกาสจากการเรียนมันมีหลายอย่าง อย่าคิดแต่จะโดดไปหางานทำสถานเดียว ถ้าอยู่ฟินแลนด์  

หัวข้อที่เรียนและบรรยากาศการเรียน ก่อสร้างบ้าน(ฟินแลนด์)





การเรียนก่อสร้างที่นี่ แต่ละเทอม เรียนแตกต่างกันไปเล็กน้อย แต่หลักๆต้องเรียน
โปรแกรมเขียนแบบ AutoCad
โปรแกรมออฟฟิช พวก เวิรด  เอ็กเซล เพาเวอพอยท์(อันนี้เราถนัดเพราะใช้งานมาหลายปีดีดัก)
คณิตศาสตร์ สำคัญมากเพราะต้องเขียนแบบ อ่านแบบก่อสร้าง(คณิตฯ เนี่ย แค่เรียนในภาษาไทยก็จะตายอยู่แล้ว นี่เรียนในภาษาฟินแลนด์ นรกแตกมาก
เรียนภาษาฟินน์ เพราะต้องจำศัพท์ช่างฯ
เรียนเวิร์คช้อป อันนี้  80% ของการเรียนทั้งหมดค่ะ เพราะต้องลงมือปฏิบัติ
เรียน เศรษฐกิจ กฏหมาย
(เรียนภาษาอื่นเพิ่ม เช่น อังกฤษ และสวีดิช)
พละด้วยค่ะ (ที่สถาบันนี้มีโรงยิมส่วนตัวให้ค่ะ มีมวยไทยด้วย อิอิ)

บรรยากาศก็คือชั้นบนของตึกทั้งหลัง มีชั้นบนกับชั้นล่าง  แต่ละชั้นประมาณ 4ไร่น่ะค่ะ(คำนวณจากที่ดินเป็นไรที่บ้านเรา)  คือกว้างมากกกก (ชั้นล่างเป็นแผนกช่างกลฯ  แผนกเครื่องจักรฯ และช่างเหล็ก)

แบ่งออกเป็นโซน
โซนสร้างบ้านทั้งหลัง และหลังละประมาณ 20-35 ตรม.ให้ทำทีมละ3-6คนค่ะต่อหลัง
โซนทำห้องน้ำ,ปูกระเบี้อง,ห้องซาวน่า
โซนงานไม้ + อุปกรณ์ด้านงานไม้ทั้งหมด
โซนทำผนัง
โซนทำบ้านตากอากาศที่เรียกว่า  มึกกิ น่ะค่ะ เป็นบ้านเล็กๆ ทำจากไม้ ที่เค้าเอาไว้พักผ่อนตามเลคต่างๆ ที่ซาวน่าเสร็จก็เดินลงแม่น้ำได้เลย ประมาณภาพข้างล่างน่ะค่ะ
โซนทำเตาผิง (อันนี้ป้าลีสนใจเป็นการส่วนตัว)
โซนห้องปฏิบัติการ เช่น คอมฯ , งานออฟฟิชต่างๆ เช่น ห้องเคมีฯ ไรงี้น่ะค่ะ
โซนงานอิฐต่างๆ สารพัดอิฐเลยค่ะให้ก่อเล่น และหล่อปูน กรอกปูน และงานคอนกรีต

บรรยากาศถัดมาคือ

เบรคทุกๆ เข็มนาฬิกาตรงเลขชั่วโมงค่ะ เบรค 10-15 นาที แต่ความเป็นจริงแล้ว เด็กจะเลท บางทีก็เป็นครึ่งชั่วโมง นั่นแปลว่า พอกลับมาเรียนอีกครึ่งชั่วโมงก็เบรคอีก ไรงี้น่ะค่ะ 

ตอนเรียนเวิร์คชอป เปิดเพลงได้ รบกับเพื่อนได้ เล่นกันได้แบบสไตล์เด็กฝรั่ง ครูก็ไม่ว่าอะไร ขอแค่รับผิดชอบงานที่เค้าสั่งอะไรต้องเสร็จ จบ จะเต้นไปทำงานไปครูก็ไม่ว่า

นี่คือบ้านทั้งหลังค่ะ  ให้ทำทีมละ3-6คนต่อหลัง เล็กแต่ใช้งานจริงได้ ประมาณ 20 กว่าๆ ตรม. เท่ากับ ห้องเล็กๆ ของคอนโดฯ บ้านเราน่ะค่ะ 
 

 บ้านมึกกิ มองจากด้านหลังค่ะเป็นขนาดจำลอง  ส่วนอิฐที่กำลังก่อตรงนี้ ถ้าเสร็จแล้วก็ใช้รถขนไปทิ้งค่ะ วัสดุอุปกรณ์ทั้งหมด ผ่านการเรียนแล้วคือขนไปทิ้งสถานเดียว (อัพเดทรุ่น 2017 นะคะ บอกว่าวัสดุเริ่มขาด ต้องนำกลับมาใช้ใหม่ในบางอย่าง)


นี่คือห้องซาวน่าค่ะ เป็นขนาดเล็ก

นี่ก็เป็นมุมปูกระเบื้องอีกที่หนึ่งค่ะ
ผนังห้องซาวน่าค่ะ ดูใกล้ๆ 





เด็กจะไม่ยอมให้ป้าลีงานหนักอะไรเลย เค้ากลัวป้าลีปวดหลัง เช่น งานพวกยกไม้ ยกไรก็ตาม เค้าจะบอกว่า มุมโม่ะ (ยาย) มาเดี๋ยวช่วยยกให้ (ใครที่อยู่ใกล้จะออกตัวมายกให้ทุกราย) บรรยากาศแบบนี้น่ารักมาก แต่ป้าลีก็ไม่ยอมให้เค้าช่วยอย่างเดียว ป้าลีไม่ชอบเบรคก็จะไปเก็บกวาดช่วงเบรค หรือทำงานง่ายๆ สไตล์ผู้หญิงแก่น่ะค่ะ 
แต่ถ้าต้องเรียนในเครื่องมือ ก็ต้องทำทุกรูปแบบ เค้าจะให้มุมโม่ะไปลองสาธิตคนแรก (มันรักเราจริงๆว่ะ ให้ตายเถอะ โรบิน)

เรื่องการฝึกงาน
ไปฝึกที่ประเทศตัวเองก็ได้ เช่นป้าลีจะไปฝึกที่ไทย เป็นเวลา สามวีค ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรม ค่ากินในสามวีค คือเค้าจะออกให้ทั้งหมดค่ะ (แต่จะพิจารณาเป็นเคสไปนะคะ ไม่ใช่จะขอไปทุกคนได้ เพราะแต่ละคนอาจจะมาไกลเกินเช่น เมกาใต้ แต่ไทยก็ไกลนะแต่เค้าเชื่อถือว่าเราไปฝึกงานจริง)

ระบบโรงเรียนภาคปฐม ของเด็กที่พึ่งย้ายมาอยู่ฟินแลนด์



หมวดนี้จากประสบการณ์โรงเรียนของลูกสาว อายุ 8 ขวบ(นางย้ายมาอยู่กับแม่ตั้งกะปีที่แล้ว )


ที่ฟินแลนด์มีระบบการเรียนการศึกษาดีที่สุดอันต้นๆของโลกอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วนั้น วันนี้มามาแฉกันค่ะ ว่าสมคำล่ำลือแค่ใหน ประการใด

ณ ตอนที่ลูกสาวเรียนจบ ป.2 จากเมืองไทย (จบตอน เจ็ดขวบ เพราะนางเรียนเร็วหนึ่งปี) นางก็ย้ายมาอยู่ที่นี่และ ไปสอบเข้าโรงเรียนอินเตอร์ของจังหวัด วานต้า สอบไปสองโรงเรียน ในตอนแรก แต่นางติดสำรอง

โรงเรียนแรกขอสอบเข้าเกรด 2 เนื่องด้วยอายุของนางไม่ผ่านเข้า เกรด 3 ได้ 

โรงเรียนที่สอง สอบเข้าเกรด 3 เพราะแม่ไปนั่งเถียงเอากับครูผู้รับผิดชอบ ว่านางจบ ป.สองจากไทยแล้วจริงๆ(ไม่มีเอกสารใดๆ จากโรงเรียนในไทยมาประกอบนะคะ เพราะตอนมานางแค่มาเที่ยว แล้วตัดสินใจอยู่ต่อหลังจากนั้น ก็เลยไม่ได้เตรียมเอกสารจากโรงเรียนของนาง ที่เมืองไทยแต่อย่างใด)

ครูก็ให้สอบเข้าเกรด 3 แต่ว่าติดสำรองเช่นกัน ครูบอกตรงๆ ว่าที่ต้องให้ติดสำรองคือ คณิตศาสตร์นางเจ๋งมาก แต่ว่าภาษาอังกฤษยังไม่สามารถคล่องพอจะเรียนเกรด3 ของโรงเรียนได้ และต้องการรับนักเรียนที่มีที่อยู่ในเขตของจังหวัดวานต้าก่อน แล้วถึงจะรับเด็กที่อยู่จังหวัดอื่น....

พอทราบผลว่าติดสำรอง แม่พานางไปสอบเข้า โรงเรียนอังกฤษของเฮลซิงกิ ในเกรด 2 เหตุผลเดิมคือ ทางโรงเรียนไม่สามารถรับนางเข้าเกรดสามได้เนื่องจากอายุไม่ถึง (ณ ตอนนั้น นางยังไม่ถึง แปดขวบดี)

ระหว่างที่รอผล จึงให้ลูกเข้าโรงเรียนระบบของฟินแลนด์และเข้าโรงเรียนที่ภาครัฐจัดให้ สำหรับเด็กๆ จากชาติอื่นที่พึ่งย้ายมาอยู่ฟินแลนด์ และพูดภาษาฟินแลนด์ยังไม่ได้ ชื่อว่า ตุ้ สุ ล่า Tuusula  ซึ่งห่างจากบ้านครึ่้งชั่วโมงจากการขับรถที่จำกัดความเร็วไม่เกิน 60  แต่ว่าทางรัฐจัดรถรับส่งส่วนตัวให้ คือรับจากบ้านถึงโรงเรียนและ รับจากโรงเรียนถึงบ้าน ตามตารางเวลาเรียนของโรงเรียน

ระบบการเรียนที่ตู้ ซู ล่ะ  จะเรียนเพียงแค่ครึ่งวันสำหรับ เด็ก เกรดหนึ่งและเกรดสอง และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ค่ารถรับส่งส่วนตัวก็ฟรี อาหารกลางวันก็ฟรีค่ะ เป็นบุปเฟ่

นางไปเรียนอยู่ เดือนกว่าๆ นางบ่นทุกวันว่าไม่มีเพื่อนเลย ไม่มีใครมาเล่นด้วย เพราะนางพูดภาษาฟินยังไม่ได้ มีเพื่อนแค่คนเดียวที่โรงเรียนที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้หลายคำ แต่เพื่อนคนนี้ก็ขาดเรียนบ่อย วันใหนชีไม่มาก็ไม่มีเพื่อน
บางทีนางก็บ่นว่าไม่อยากไปโรงเรียนเพราะเหงา และไม่ชอบตอนเบรคเพราะต้องเล่นคนเดียว

ยังจากห้าอาทิตย์ ได้รับการติดต่อจากโรงเรียนอังกฤษของเฮลซิงกิ ชื่อ  The English School of Helsinki  ซึ่งเป็นโรงเรียน International Examinations ของ University of Cambridge จาก ประเทศอังกฤษ ประจำกรุงเฮลซิงกิ ว่านางสอบเข้าเกรดสองได้แล้ว ให้เข้าไปเรียนได้เลย

//www.eschool.edu.hel.fi/classes_1-9/cambridge.html

โรงเรียนนี้ เสียค่าสอบ  60 ยูโร และค่าสมาชิก 50 ยูโรต่อปี  ส่วนค่าเทอม เสียปีละ  635 ยูโร มีสองเทอมค่ะ(เทอมละ 300 กว่ายูโร) เทอมฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูใบไม้ผลิ(ปิดซัมเมอร์นั่นเอง ปิดนานถึง เกือบ สามเดือน)  ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่มีค่ะ อาหารกลางวันฟรี และเริ่ดมาก ดีกว่าโรงเรียนแรกที่นางไปเรียน

ส่วนการเรียนการสอน จะเรียนสองภาษาคือ ภาษาอังกฤษและภาษาฟินแลนด์ด้วย แต่ภาษาที่ใช้เป็นหลักคือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาฟิน จะเรียนทุกวัน วันละ หนึ่งคาบ  หนังสือตำราฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ

โรงเรียนนี้ส่วนตัวแล้ว ป้าลีชอบมาก เพราะครูสอนดีมาก ระบบจะแปลกจากโรงเรียนที่ไทย ตรงที่ในแต่ละเทอมเค้าจะเรียกนักเรียนและผู้ปกครองมาออกแบบหลักสูตรของตัวเอง ว่าต้องการเรียนอะไรเพิ่มเติมบ้างในเทอมถัดไป

ก็คือ จับกลุ่มกันเขียนว่าเด็กๆ ต้องการอะไร (ให้คิดเอง) เสร็จแล้วไปลงคะแนนว่าหัวข้อใหนกองเชียร์เยอะ ก็ถูกบรรจุลงในหลักสูตร

นางต้องการเรียนคณิตกับ ภาษาอังกฤษเพิ่ม ให้เหตุผลในห้องว่า คณิตต้องใช้ทุกวันในชีวิตประจำ ส่วนภาษาอังกฤษนั้นเวลาไปเที่ยวประเทศอื่นเค้าไม่มีพูดภาษาฟินน์ (แม่แอบยิ้ม เพราะนางเอาประสบการณ์จริงของนางมาคิด)

การเรียนของเด็กที่นี่ จะเรียนไม่เยอะ การบ้านน้อย ทุกๆวันศุกร์ไม่มีการบ้านเลย ครูจะพาเดินออกข้างนอก เช่น ไปสวนสาธารณะ ไปเดินป่า(ที่ยังพอจะมีบ้างในเฮลซิงกิ) เพื่อฝึกเด็กคุ้นเคยกับชีวิตประจำวัน  มีว่ายน้ำ ไปดุหนัง หรือปิกนิคกับทางโรงเรียน

แต่...



เรื่องการเรียนของโรงเรียนที่นี่ จะมอบหมายงานให้รับผิดชอบค้นคว้าเอง เช่น ให้หัวข้อการหาหนังสืออ่านเกี่ยวกับอะไรต่างๆ มา  15 หัวข้อ ต้องไปหาอ่านเอง ทั้งสองภาษา กลายเป็น  30 เล่ม  เสร็จแล้วรวบรวมประสบการณ์การอ่าน ออกมาเขียนสรุปเป็นหนังสือของตัวเองแล้วส่งครู พร้อมรายชื่อหนังสือที่ผ่านมาทั้งหมด ใครแต่ง ชื่ออะไร ชื่อหนังสืออะไรด้วย (นี่คือเด็ก เกรดสองนะคะ)

เมื่อเขียนแล้ว ให้ออกไปนำเสนอหน้าห้อง ใน ภาษาอังกฤษหรือภาษาฟินน์ก็ได้ เลือกเอาว่าจะภาคนิทานของตัวเองในภาษาอะไร

งานที่มอบหมายแบบนี้ มีระบุระยะเวลา สองเดือนค่ะ... ให้เสร็จและต้องส่งงานด้วย

การเรียนแบบนี้ เริ่มตั้งแต่ เกรด หนึ่งค่ะ ... พอขึ้นเกรดสาม เด็กๆ จะต้องเข้าคอมพิวเตอร์เอง เขียนรายงานเองในคอมฯ พริ้นต์เอง หาข้อมุลหนังสือเอง ไรงี้



และระบบการเรียนที่นี่ ทุกโรงเรียนจะใช้การสื่อสารระหว่างครูและผู้ปกครอง ผ่านทางเว็บส่วนตัวและ รหัสส่วนตัวแก่ผู้ปกครอง รวมทั้ง เด็กๆ จะมีรหัสผ่านส่วนตัวเพื่อล็อคอินเข้าไปดูว่า โปรแกรมอาทิตย์หน้า ต้องเรียนอะไร ศัพธ์คำใหน

คือให้เตรียมตัวล่วงหน้า และการบ้านอะไร ระบบนี้ เรียกว่า  wilma  แต่ละโรงเรียนจะมี วิลล่ะมาของตัวเอง ของใครของหล่อน และครูจะเห็นทุกวันว่า เด็กๆ เข้าไปดูการเรียนในเว็บทุกวันหรือเปล่า ผ่านทางล็อคอินนั่นเอง

เกรดหนึ่งและ เกรดสอง จะเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาฟินแลนด์ ศิลปะ พละ และวิชาหนึ่งที่แตกต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิง... เรียกว่า .......'evs'

คือ วิชาที่เรียนแตกต่างกันในแต่ครั้ง...เช่น ต้องเข้ากลุ่มกับเพื่อนแล้วทำงานต่างๆ ที่กลุ่มต้องคิดขึ้นมาเองว่าจะอยากทำอะไร


 เช่น ออกแบบการ์ตูน แล้วนำมาพรีเซ็นต์ร่วมกันหน้าห้อง  หรือ ประดิษฐ์อะไรบางอย่างร่วมกัน 

เช่น ปลูกมะเขือเทศด้วยกัน และต้องรักษาดุแลร่วมกันกับกลุ่มของตัวเอง หรือให้หาข้อมูลเกี่ยวกับ ภัยพิบัดต่างๆ พายุ น้ำท่วม หิมะตก ใหญ่ๆ ในโลก แล้วเขียนมาว่าเหตุเกิดที่ใหน ภัยอะไร ประมาณนี้น่ะค่ะ  หลักๆ วิชานี้ จะต้องคิดเองว่าต้องการจะสื่ออะไร ทำงานร่วมกันเกี่ยวกับอะไร แล้วนำไปเสนอหน้าห้องร่วมกัน

(แปลกๆ นะคะ แต่ว่ามันเวิร์คมากนะเออ แปลกตรงที่เด็กคิดเอาเองว่าอยากเรียนอะไร ป.1 หรือ ป.2 เท่านั้นเอง)

ต่อภาคสองกับเพจหน้าค่ะ วันนี้ขอตัวไปนอนแล้วค่ะ

เพิ่มเติ่มข้อมูล ณ 12.1.2016

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ป้าลีได้ติดต่อสอบถามเลขาฯ ที่โรงเรียน กรณีเด็กจากประเทศอื่นจะขอมาทดสอบเพื่อเข้าเรียนที่นี่ต้องทำอย่างไร และสามารถขอวีซ่าท่องเที่ยวมาทดสอบได้หรือไม่?

คำตอบ คือ

ไม่ได้เพราะว่านโยบายที่นี่ เด็กที่จะทดสอบได้ต้องมีเรสซิเด้นท์เปอมิท ที่สามารถอยู่ฟินแลนด์ได้แบบถาวรแล้วเท่านั้น..
(ต้องติดต่อกับทางสถานทูตฟินแลนด์ ประจำประเทศไทย ถ้าต้องการขอวีซ่า เรสซิเด้นท์เปอมิท เพื่อพำนักในฟินแลนด์เป็นการถาวร หรือ วีซ่าระยะยาวนั่นเอง)

หรือถ้ากรณีมีเรสซิเด้นท์เปอมิทจากประเทศในโซน ยุโรป ขอให้ติดต่อโรงเรียนได้โดยตรงค่ะ

ประสบการณ์ เรียนช่างก่อสร้าง (สาขาหลัก) ฟินแลนด์



Rakennusala Perustutkinto (Stadin ammattiopisto,Helsinki)

พูดถึงการเรียนก่อสร้างไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องแปลกอะไร ใครๆก็เรียนได้ แต่ที่แปลกและใหม่คือ เป็นการเรียนก่อสร้างในฟินแลนด์ (เฮลซิงกิ) ซึ่งเป็นประเทศที่แตกต่างจากอาชีพก่อสร้างที่เมืองไทย(อย่างไรนั้น มาว่ากันค่ะ) และที่สำคัญเรียนในหลักสูตรภาษาฟินแลนด์

และที่แปลกถัดมาคือ มันของใหม่ซิงๆ สำหรับป้าลีมากกกกก 

วันนี้ป้าลีมาเล่า(หรือระบายน่ะแหละ) ว่าทำใมด้วยวัยขึ้นเลข 4 แล้วทำใมมาแบกหามอยู่ต่างแดน (จากปริญญาโท นิด้า และทำงานด้านตลาดลงทุนแห่งประเทศไทย)

การเรียนของป้าลีเป็นการเรียนเฉพาะทาง  ด้านก่อสร้างสาขาหลัก นั่นก็คือ  เรียนการก่อสร้างทั้งหมด ตั้งแต่ เขียนแบบ,โครงสร้าง,เลยไปถึงการสร้างบ้านทั้งหลัง ทั้งแบบไม้ แบบคอนกรีต งานตกแต่งด้านใน ปูกระเบื้อง และทำห้องน้ำ ห้องซาวน่า  เออ ก็ทั้งหมดแหละนะ (ก่อสร้างบางสาขาเค้าสามารถแยกไปเรียนสาขาเฉพาะทางได้ เช่นจะเป็นงานไม้ก็ทำเฉพาะทางเรื่องการไม้ไปเลย ทาสีก็ทาสีไปเลย หรือจะปูกระเบื้องและงานเกี่ยวกับหิน ก็ลึกลงไปในสาขานั้นๆ แต่ของป้าลีสาขาหลัก คือเรียนทั้งหมดของตัวบ้านทั้งหลัง เคนะจ๊ะหลานๆ)

ในหลักสูตรนี้ต้องมีการฝึกงานสลับกับการเรียนทั้งภาคปฏิบัติและแก้ไขปัญหาก่อนไปต่อที่งานซ่อมแซม (ประมาณนั้นนะคะ)

ที่แปลกใหม่อีก คือ การก่อสร้างที่นี่เป็นประเทศเมืองหนาว เทคนิคและการก่อสร้างจึงแตกต่างจากเมืองไทย และการเรียนในประเทศยุโรป ก็แตกต่างในเรื่องของความทันสมัยที่สะดวกสบายในเครื่องมือและ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ทั่วถึงมือผู้เรียน  เน้น ค่ะว่าทั่วถึงมือนักเรียนทุกคน (ในเมืองไทยเทคโนฯ ใหม่ๆก็ดีและดีกว่าที่นี่ อันนั้นไม่เถียงค่ะ แต่มันไม่ถึงมือนักเรียนน่ะค่ะ...นี่คือประเด็น)

ความยากของการเรียนสาขานี้ของป้าลี มี 2 อย่างที่ใหญ่หลวงมากๆ นั่นคือ

1.เรียนในภาษาฟินแลนด์ ซึ่งเรียนร่วมกับนักเรียนชาวฟินแลนด์
2.เรียนกับนักเรียนรุ่นลุกรุ่นหลาน (มันยากยังไง มาว่ากันค่ะ ป้าจะเล่าให้ฟัง)

เรื่องภาษาฟินน์มันเป็นปัญหาโลกแตก ที่ดับฝันคนไทยในฟินแลนด์มาหลายร้อยรายแล้วก็ว่าได้ ที่นี้เวลาเรียนเนี่ย เค้าสอนในระดับของการสอนคนฟินแลนด์น่ะค่ะ ดังนั้นเค้าจะพูดเร็วและใช้ภาษาพูด เช่น พวกตัวเลข เค้าจะพูดกันสั้นๆ และเร็วๆ ซึ่งแตกต่างไปจากที่เราเรียนในตำรา(ภาษาพูดก็ต้องเรียนแตกต่างออกไป) 

ป้าลีจะมีปัญหาสุดๆ เพราะเรียนช่างเค้าจะใช้ตัวเลขกันทุก 5 วินาที เช่น การเขียนแบบ การทำงานตามแบบ ตัดไม้ วัดระยะ  ตัวเลขทั้งนั้น... โอ๊ย เคลียดมาก

ส่วนเรื่องอายุ มันลำบากตรงใหนใครๆก็รู้ว่า การเรียนไม่มีจำกัดเรื่องอายุ เพศ  แต่... ความจริงแล้ว มันลำบากแบบนี้ค่ะ

เราอายุขึ้นเลข 4 ปุ๊บ แต่เรียนร่วมกับเด็กรุ่นลุก 17-18 ปีและจะมี แค่  2-3 คน ที่อายุ  26-28 ปี(ในห้องมี  13 คนค่ะ และมาบ้างไม่มาบ้าง ดังนั้น แต่ละวันจะเรียนกันประมาณ ไม่ถึงสิบคน)

มันลำบากตรงที่ด้วยวัยและวัฒนธรรมที่แตกต่างด้วย (คนละรุ่นด้วย) ทำให้ต้องปรับตัวมากขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องภาษาเท่านั้น

ป้าลีเรียกว่ามันต้องใช้ความกล้า ระดับสูงทีเดียวที่จะ พาตัวเองไปสู่สังคมรายล้อมแบบนั้นในระยะเวลา  2-3 ปี

เพราะถ้าเป็นคนทั่วไป เค้าก็จะอยู่ในกลุ่มไม่ได้ เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า เอ๊ะ เรามาตั้งต้นอะไรกับเด็กเหล่านี้เนี่ย  ชีวิตเราเดินมาไกลแล้วนะ ทำใมต้องมาเรียนใหม่ อะไรตรงนี้ด้วย เราจบปริญญาโท นิด้าและทำงานทั้งด้านการลงทุนและด้านการตลาด ในด้านการตลาดเราเป็นผู้จัดการระดับสุงแล้วนะ บริหารคนและทีมเยอะ

แต่เชื่อมะ.... ในหลายคนที่วัยเดียวกันนี้ เค้าจะรับไม่ได้กับการที่ต้องหยุดอะไรบางอย่างในชีวิต เช่น หยุดงานที่ทำมาตลอด  20 ปี แล้วมาลงเรียนใหม่ ก้าวแรกเลย ณ จุดนี้ คุณนึกออกใช่มั๊ยคะว่ามันยากที่จะปรับใจให้ยอมรับได้ แล้วไม่ใช่แค่ 3-6 เดือนด้วยนะ แต่มันต้อง เกือบ 3 ปีเลยล่ะ 

นอกจากความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่เราต้องทุบทางเดินตัวเองแล้วเราต้องมีความบ้าระดับเทพ ไม่ใช่แค่ลูกเทพด้วย ต้องระดับพ่อเทพแม่เทพ เลยทีเดียว ไม่งั้นพาตัวเองไปโรงเรียนไม่ถึง  2-3 ปีแน่

ด้านความยากด้านอื่น มันก็มีอยู่แล้ว เช่น ด้วยความที่ทำงานด้านการตลาดเราจะหิ้วปากไปทำงานเท่านนั้น ส่วนด้านการลงทุนที่เคยทำงาน ต้องใช้แค่ปากกา แต่นี้เต้องเปลี่ยนมาจับเครื่องตัดไม้ สว่านตัดเหล็ก เลื่อย ฯลฯ คุณว่ามันง่ายมะ ...
"จากสาวทำงานด้านเศรษฐกิจการลงทุนประเทศไทย  สู่แรงงานก่อสร้างประเทศฟินแลนด์)

แต่ถ้าถามว่า แล้วทำทำใม ถ้ามันยากขนาดนั้น?

"ต้องการใบอนุญาติด้านก่อสร้างและซ่อมแซม"

นึกออกแล้วนะคะ ว่าเป้าหมายของป้าลีคืออะไร   ไปหาสมัครงานเพราะช่างก่อสร้างหางานง่าย.... คุณคิดแบบนั้นจริงๆ หรือ?

เอาล่ะ ...ย้ายไปหัวข้ออื่นๆกันค่ะ

หลังจากสุ้รบปรบมือกับการสอบเข้า(สอบภาษาฟินน์ ทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์) ป้าลีก็สอบไม่ได้หรอกนะคะ สอบมาสามครั้งและในการสอบแต่ละครั้งก็มีพาร์ทใดพาร์ดหนึ่งที่ไม่ผ่าน (สอบเข้าในสาขาออกแบบและต่อเติม) 

อ้าว...เข้าเรียนได้ไงล่ะป้า?

อันนี้ชาวไทยทุกคนต้องอ่าน ถ้าคิดจะอยู่ฟินแลนด์

ด้วยความที่เราเป็นศิษฐ์เก่าของสถาบันที่เราเรียนอยู่ตรงนั้น MAVA ซึ่งเป็น มาว่ะ สาขาก่อสร้าง  เค้าเลยจับเราต่ออัมมัตติ ของสถาบันที่เราอยู่นี่แหละค่ะ(ที่จริงเค้าช่วยค่ะ อิอิ ไม่ได้จับหรอก)  นั่นก็คือ ก่อสร้าง(แต่เราต้องการเรียนออกแบบและต่อเติมในตอนแรกอ่ะนะ ที่สอบไม่ผ่านน่ะค่ะ สอบในสถาบันในเฮลซิงกิทุกสถานบันที่เปิดสอน)

(ใครที่ไม่ได้ตามอ่านหลักสูตรมาว่ะ ที่ป้าลีเขียน   ก็คือ MAVA  มันมีหลายสาขาไม่ใช่แค่จะเรียนภาษาฟินน์อย่างเดียวนะคะ ป้าลีใช้หลักการเดียวกันนี้ ณ ตอนที่ได้ อัมมัตติปีแรกที่เข้ามาอยู่ฟินแลนด์เช่นกัน นั่นคือ จังหวัด ยุวาสกูล่ะ เค้าจะจับเราต่ออัมมัตติของสถานบันเค้าถ้าเราสามารถ พาตัวเองไปเรียนหลักสูตรระยะสั้นของเค้าก่อนหน้าที่จะต่ออัมมัตติได้ เค้าจะไม่ปล่อยเราออกมาเดินเล่นหาที่เรียนข้างนอกหลังจบหลักสูตระยะสั้นของเค้าและถ้าเราหาสอบที่ใหนไม่ได้ นึกภาพออกใช่ป่ะคะ?  ดังนั้นหน้าที่คุณคือ.... ก่อนจะไปเรียนภาษาฟินน์ หรือหลักสูตรระยะสั้นอะไรให้คิดถึง ก้าวถัดไปด้วยว่าถ้าเราสอบเข้าที่ใหนไม่ได้ เราก็ยังมีโอกาสได้เรียนในสถาบันเดิม ดังนั้นเค้าสอนอะไรในสถาบันนั้นๆ  ดูก่อนค่อยก้าวไปเรียนหลักสูตรระยะสั้นของเค้า เคนะคะ ตามนั้น)

พอเปิดเทอมวันแรก ก็จะเข้าไปเลือกไซด์เสื้อผ้า และรองเท้าเซฟตี้ (ฟรีค่ะ) 
เลือกไซด์เสร็จเค้าก็จะเอาไปปักชื่อสถาบันที่ชุดน่ะค่ะ (ชุดที่ได้เป็นสีส้ม)

การเรียนอัมมัตติที่นี่(ตั้งกะหลักสูตร  MAVA แล้ว) เค้ามีอาหารกลางวันฟรี อุปกรณ์การเรียนฟรีทุกอย่าง แบกหน้าไปเข้าห้องเรียนพอ

และจะต้องถ่ายรุปติดบัตร พร้อมทั้งรับกุญแจทั้งแบบอ่านโค๊ดและกุญแจห้องล็อคเก้อร์ของสาวๆ  และกุญแจประตูที่ต้องผ่านโค๊ดนั้นสามารถเข้าออกได้ทุกประตูโรงเรียน (นั่นคือคุณเข้ากี่โมงออกกี่โมงและไปเดินเล่นอะไรในห้องใหน เค้ารู้หมด ดังนั้นอย่าได้คิดจะหยิบจับอะไรไปเด็ดขาด)

ต่อเพจหน้าค่ะ มือเริ่มหงิกจากการพิมพ์

ฟินแลนด์เน้นพัฒนาที่ตัวผู้เรียน ไม่ใช่เน้นแค่ระบบการเรียน




ได้ดูรายการหนึ่ง ที่คุณกุลธิดา เล่าถึง ระบบการศึกษาของฟินแลนด์  ป้าลีชื่นชม อยากแชร์ค่ะ

เพราะเห็นด้วยว่า การเน้นระบบการศึกษานั้น มองที่การพัฒนาตัวระบบ แต่ถ้าเน้นที่ตัวผู้เรียนนั้น เป้าหมายในการพัฒนา จะชัดเจนกว่า และยิงตรงกว่า

แต่ฟินแลนด์ทำทั้งสองอย่างนะคะ ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง

อย่าง โรงเรียนที่ลุกสาวเรียนอยู่นี้(The Enlish School of Helsinki)

 ตัวหลักสูตรจะถูกออกแบบร่วมกับ ตัวเด็กอยากจะเรียนอะไรในเทอมนี้ ตัวผู้ปกครองจะอยากให้เรียนอะไร
ซึ่งคำถามตรงนี้จะนำมา พิจารณาและสรุปเป็นข้อ แล้วนำมาคิดและออกแบบให้มีการเรียนการสอนเพิ่มเติมในส่วนที่เด็กนักเรียนต้องการ
มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เลือกจาก เสียงส่วนใหญ่ของนักเรียนและผู้ปกครอง

ส่วนตัวหลักสูตรจากทางโรงเรียน เค้าจะมีมาตรฐานของเค้าอยุ่แล้ว เค้าจะบอกว่า ต้องเรียนเขียนอ่านอะไรบ้าง
เราก็มองแล้วคิดว่า มันเพียงพอมั๊ย หรือเยอะไปหรือเปล่ากับลุกเรา 
ซึ่งผู้ปกครองมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี

(อันนี้คือ โรงเรียน The Enlish School ที่ลูกสาวเรียนอยุ่นะคะ เป็นกึ่งอังกฤษ+ฟินแลนด์ ตามโพสต์เก่าก่อนหน้านี้ที่เล่าไว้) 
แต่เชื่อว่า ระบบของฟินแลนด์ล้วน คงไม่ต่างกันมาก

ลุกสาวเคยเรียนระบบของฟินแลนด์อยู่ เกือบ สองเดือน แต่นางไม่ปลื้ม เลยได้เปลี่ยนโรงเรียนใหม่
จากวันที่เปลี่ยนถึงวันนี้ ก็จะเข้าปี ที่ 4 แล้วค่ะ และไม่ยอมจะเปลี่ยนอีกเลย นางชอบที่นี่ ต่อให้ไกล นางจะบอกว่า หนูนั่งรถเมล์ได้

ดังนั้นคำว่า เด็กแฮปปี้กับที่เรียน เป็นยาวิเศษที่จะทำให้เค้ามีแรงบันดาลใจในการจัดการ การเรียนของตัวเองได้ดีที่สุดค่ะ 


 https://youtu.be/600mlqDJED4

เรื่องการ สมัครมหาวิทยาลัย สาขา วิศวกรรม ใน ฟินแลนด์

 วุฒิที่สมัคร เขียนว่า Insinööri(AMK) แปลว่า วิศวกร นะคะ เรียน 4 ปี รับ 105 คน การสมัครเพื่อเรียนต่อ ระดับ มหาวิทยาลัย ใน...